ญี่ปุ่นกับบราซิล ตรงกับสมัย ร. 5 ของสยาม

ญี่ปุ่นกับบราซิล

” ตรงกับสมัย ร. 5 ของสยาม ญี่ปุ่นปรับตัวให้ก้าวทันชาติตะวันตก ด้วยนโยบาย Rich Nation, Strong Military ให้ทันชาติตะวันตก เพื่อจะไม่ให้ใครมารังแกได้อีก “

Picture of ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​
ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​

เผยแพร่: 10 เม.ย. 2560

แชร์บทความนี้
Picture of ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​
ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​

เผยแพร่: 10 เม.ย. 2560

แชร์บทความนี้

ญี่ปุ่นเดินหน้าเข้าสู่ระบบโรงงานอุตสาหกรรมมีโรงงานปั่นด้ายครั้งแรก ออกกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ และประกาศว่าคนญี่ปุ่นต้องอ่านหนังสือออกทั้งประเทศ​

ต่อมา ญี่ปุ่นซื้อเรือรบจากอังกฤษ และเข้าไปมีบทบาทในจีน เพื่อสกัดไม่ให้รัสเซียมาคุกคามตน แต่สภาพเศรษฐกิจสังคม ญี่ปุ่นระดับล่างยังยากจน ที่ดินมีไม่พอ ทำเกษตรกรรม คนต้องเช่าที่นาทำกิน ญี่ปุ่นเห็นคนจีนเดินทางไปเป็นแรงงานอกประเทศกันมาก จึงเปิดโอกาสให้เอกชนตั้งบริษัทส่งคนไปทำงานต่างประเทศบ้าง ซึ่งตอนแรก ก็ส่งแรงงานไปยังพื้นที่ใกล้ ๆ เช่น ฮาวาย ฟิลิปปินส์ เป็นแรงงานในไร่อ้อย

บราซิล ดำเนินนโยบายฟอกสีประชากรใหม่ ต้องการลดสัดส่วนคนผิวสี ซึ่งเคยเป็นทาสนิโกรลง โดยการเพิ่มคนจากที่อื่นเข้าไปทำงานแทน แรกทีเดียวรับคนจากอิตาลีเข้าไปทำไร่กาแฟ แต่สภาพการจ้างของบราซิลเอาเปรียบมาก แรงงานจากอิตาลีกลับบ้านไปมาก จึงเปิดโอกาสให้กับแรงงานจากญี่ปุ่น การที่ญี่ปุ่นแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยการส่งคนไปทำงานต่างประเทศ เป็นการแก้ปัญหาที่น่าจะถูกจุด แต่ปัญหาบางอย่างนั้น พอแก้ไปได้ก็จริง มันกลายเป็นไปเกิดความยุ่งยากอย่างอื่นตามมา และในความยุ่งยากที่ตามมานั้น สำหรับบางเรื่อง ต่อมาอีกสักระยะหนึ่ง ก็กลายเป็นประโยชน์กลับมาได้อีก

วิธีการชักชวนคนญี่ปุ่นไปขายแรงงานในบราซิลนั้น ทำกันเอิกเกริกมาก ได้ติดโปสเตอร์ชักชวนกันเว่อสุด ๆ โฆษณาว่าเป็นโอกาสที่ดีของชีวิต มีภาพให้จินตนาการ เหมือนกับไปขุดทอง รวยแล้วค่อยเดินทางกลับ แต่เมื่อแรงงานจากญี่ปุ่นเดินทางไปถึงจริง ๆ แล้วมันกลายเป็นคนละเรื่องค่ะ เพราะค่าแรงถูกเป็นแกลบ เวลาชั่วโมงทำงานยาวนาน เงินที่เป็นรายได้ ต้องนำกลับไปซื้อของกินของใช้จากเจ้าของที่ดิน แทบจะไม่เหลืออะไร ในที่สุดจากความหวังว่าจะรวยแล้วกลับบ้าน กลายเป็นจนแล้วคงต้องตายที่นั่น เพราะตกเป็นหนี้ เจ้าของที่ดินกันถ้วนหน้า

คนญี่ปุ่นที่ไปเป็นกรรมกรในอเมริกาใต้ จึงแทบไม่ต่างกับคนจากอิตาลี ที่เคยโดนมาก่อนแล้ว มันไม่ได้สวยงามอย่างที่ฝัน สภาพแรงงานญี่ปุ่นก็คือทาสดี ๆ นี่เอง เมื่อไม่มีเงินกลับบ้าน ก็ต้องอยู่ในบราซิลอย่างถาวร คนญี่ปุ่นในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะที่บราซิลรุ่นแรก ลำบากแสนสาหัส ต้องเกาะกลุ่มกันเองอย่างเหนียวแน่น ส่วนคนญี่ปุ่นในสังคมอื่น เช่น ในซานฟรานซิสโกในสหรัฐ ต้องประสบกับชะตากรรม จากการถูกกีดกันจากคนขาว ที่เลวร้ายที่สุดคือ เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 คนอเมริกันเกลียดชังคนญี่ปุ่นหนัก จนคนญี่ปุ่นแทบไม่อยากเดินออกจากที่พัก

เซา เปาโล ในบราซิล กลายเป็นฐานชุมชนใหญ่ของคนญี่ปุ่น และเป็นสังคมแปลกแยกน่าเป็นห่วง แต่คนญี่ปุ่นก็มีจิตใจเด็ดเดี่ยว และยังเข้มข้นในชาติพันธุ์ เก็บหอมรอมริบได้ ก็ส่งลูกหลานกลับไปเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่น แต่ก็ต้องผิดหวังอีก… เด็กญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่เกิดในต่างประเทศ ก็กลายเป็นคนต่างวัฒนธรรมไปแล้ว คนญี่ปุ่นในประเทศตัวจริงนั้น เข้มงวดในค่านิยมของความเป็นญี่ปุ่น เพื่อนนักเรียนในญี่ปุ่นไม่ให้ความสนิทสนมกับเด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่เกิดต่างถิ่น ป่วยทางจิตกันไปตาม ๆ กัน ในที่สุดก็ต้องกลับบราซิล

คนญี่ปุ่นต่างถิ่น เพิ่งมีโอกาสได้กลับไปแผ่นดินแม่อีกครั้ง ก็เมื่อผ่านมาถึงช่วงที่เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมญี่ปุ่นบูมอย่างบ้าคลั่งในทศวรรษหลัง ค.ศ. 1980 ค่าแรงในญี่ปุ่นพุ่งกระฉูด ทำให้ญี่ปุ่นต้องการแรงงานที่ราคาที่ถูกกว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้สิทธิ์คนบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่นโพ้นทะเล เข้ามาทำงานในญี่ปุ่นได้ แต่ปัญหาเดิมก็ตามมาอีก คือได้แรงงานคนญี่ปุ่นกลายพันธุ์ พูดภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ นิสัยก็ไม่ขยันเหมือนคนญี่ปุ่น ทำงานก็ไม่ละเอียด คนบราซิลเชื้อสายญี่ปุ่น จึงต้องเดินทางกลับบราซิลอีกครั้ง นี่แหละ… จำไว้เลยค่ะว่า ชีวิตที่ห่างไกลกัน แม้จะเป็นสายเลือดเดียวกัน อยู่มาวันหนึ่ง… ก็ไม่เหมือนกันอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ ในภาพกว้าง คนญี่ปุ่นต่างพื้นที่ก็ยังมีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกันอยู่ คนญี่ปุ่นที่โตเกียวได้จัดเทศกาล Samba Carnival เหมือนกับที่บราซิลในช่วงอีสเตอร์มีผู้หญิงแต่งชุดปิดร่างด้วยผ้าน้อยนิด… ออกมาเต้นในถนนเหมือนกับใน Rio de Janeiro ในไม่ช้าวัฒนธรรมใหม่ของญี่ปุ่นกำลังเกิดขึ้น มันจะไม่มีความแปลกแยกที่เลวร้ายอีกต่อไป การส่งผ่านทางวัฒนธรรม ที่มีพลวัตมากเกิดขึ้นในหลาย ๆ ด้าน และจะถมความแตกต่างให้มิดลง

ตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ คือรสนิยมบางอย่างของคนญี่ปุ่น ปัจจุบันนี้ มีความเป็นบราซิลปะปนอยู่หลายเรื่อง สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ วัฒนธรรมกาแฟในญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องนี้ต้องมองรวมไปถึงอิตาลีด้วย สาเหตุส่วนหนึ่งนั้น เนื่องมาจากการที่คนอิตาลี และคนญี่ปุ่น ซึ่งต่างก็เคยไปเป็นแรงงานทาส ทำไร่กาแฟในบราซิล กลายเป็นปัจจัยหนึ่ง ทำให้ทุกวันนี้คนอิตาลี และคนญี่ปุ่นกลายเป็นนักดื่มกาแฟ และกลายเป็นกูรูกาแฟตัวจริง นี่แหละค่ะ… เรื่องเลวร้ายของคนญี่ปุ่นในไร่กาแฟที่บราซิลสมัยหนึ่งผ่านไป ร้อยกว่าปีต่อมา คอกาแฟตัวจริงที่ได้รับการยอมรับนับถือในวันนี้คือคนอิตาลี และญี่ปุ่น

ที่อิตาลีนั้น… วัฒนธรรมกาแฟในอิตาลี ที่ได้มาจากวัฒนธรรมกาแฟจากเตอร์ก ผสมกับเรื่องราวที่คนทำไร่กาแฟในบราซิล นำกาแฟมาเติมให้กาแฟอิตาลีขลังมากขึ้นไปอีก ส่วนที่ญี่ปุ่นนั้น ขณะนี้มีกาแฟยี่ห้อดังมากมาย เวลาเราไปญี่ปุ่นก็ได้ดื่มด่ำกับกาแฟที่นั่น  การบินไทยก็เคยใช้กาแฟ Suzuki ของญี่ปุ่นบริการบนเครื่องบิน ญี่ปุ่นนี่แหละที่ไปเหมา ซื้อกาแฟที่ Blue Mountains ที่เกาะ Jamaica แทบไม่เหลือให้ใครในโลกกิน

ส่วนที่อเมริกาใต้นั้น วัฒนธรรมอาหาร ที่มีความเป็นญี่ปุ่นผสมอยู่ชัดเจน โดยเฉพาะที่เปรูคือ Ceviche – เซบิเช่ เพราะเปรูมีอาหารทะเลมาก เนื่องจากกระแสน้ำเย็น Humboldt นำปลาในเขตตอนล่างของเส้นศูนย์สูตรเข้ามาบริเวณนอกฝั่งเปรูมากมาย Ceviche ทำจาก ปลาทะเลสด หอยเชลล์สด กุ้งสด เป็นวัตถุดิบหลัก จากนั้น ตัดมะเขือเทศ เซเลอรี่ พริกตุ้มสี แดง เขียว เหลือง เป็นชิ้นเล็กเคล้าลงไป เหยาะน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว โรยหน้าด้วยใบผักชี นี่ก็คือวิธีการที่แปลงมาจากการทำปลาดิบ ของคนญี่ปุ่นที่เข้าไปขายแรงงานในเปรูนั่นเอง

ถึงตอนนี้คงเห็นนะคะว่า วัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่น ยังกลายมาเป็นวัฒนธรรมอาหารในอเมริกาใต้ไปแล้วด้วยซ้ำ หากได้กิน Ceviche ในวันนี้ ก็ขอให้นึกถึงคนญี่ปุ่น ที่อพยพไปกลายเป็นแรงงานทาสในอเมริกาใต้ และต้องผ่านห้วงเวลา และปัญหาอันยากลำบากมากมาย