เจาะลึกวิกฤตข่าวสาร ผลพวงที่เกิดจากการนำเสนอข่าวสารของสื่อประเภทต่าง ๆ

บทความพิเศษ

เจาะลึกวิกฤตข่าวสาร

เจาะลึกวิกฤตข่าวสาร

วิกฤตข่าวสาร เป็นวิกฤตที่สร้างความกระทบกระเทือน ทั้งในระยะยาวและระยะสั้น ในบางกรณี วิกฤตนี้สามารถทำให้คณะกรรมการบริษัท ฝ่ายบริหาร และพนักงานอยู่ไม่เป็นสุขได้อย่างไม่รู้จบทีเดียว
Picture of ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​
ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​

เผยแพร่: 20 มี.ค. 2558

แชร์บทความนี้
Picture of ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​
ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​

เผยแพร่: 20 มี.ค. 2558

แชร์บทความนี้
ตอนที่ 1

วิกฤตข่าวสาร คือผลพวงที่เกิดจากการนำเสนอข่าวสาร ของสื่อประเภทต่างๆ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ตลอดจนถึง สื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

ทั้งทาง Twitter, Facebook, Webboard, SMS, Email ฯลฯ หรือ แม้แต่ สื่อบุคคล การอภิปราย การบรรยาย การให้ข้อมูลโดยนักวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ ตลอดจนบทความที่ปรากฎในสื่อนานาชนิด ล้วนแล้วแต่จะสร้างความเสียหาย จนกลายเป็นวิกฤตข่าวสารไปในที่สุดได้ทั้งสิ้น
สาเหตุที่ก่อให้เกิดวิกฤตข่าวสารเกิดขึ้นนั้น อาจกล่าวได้ว่า เกิดจากสาเหตุมากมาย ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจที่องค์กรนั้นดำเนินการอยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นผู้ประกอบการประเภทกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโรงงานผลิตอยู่ เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤต เช่น เกิดการระเบิด ไฟไหม้ วินาศกรรม ก๊าซรั่ว ฯลฯ เกิดขึ้น และทางโรงงานได้ดำเนินการจัดการกับเหตุวิกฤต (Crisis Management) ไปเรียบร้อยแล้ว แต่มิได้มีการบริหารจัดการเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Communication) ที่ดีพอ ก็อาจจะทำให้สื่อนำเสนอข่าวในแง่ลบ หรือกลายเป็นข่าวร้ายที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์หน้าใดหน้าหนึ่งได้
นอกจากนี้นักจัดรายการวิทยุส่วนกลาง หรือท้องถิ่น อาจจะนำมาวิพากษ์วิจารณ์ในรายการวิทยุต่าง ๆ ได้ ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าองค์กรได้มีการดำเนินการสื่อสารในบางส่วนไปแล้ว แต่อาจไม่มีความเป็นมืออาชีพเพียงพอ เช่น ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ให้ข้อมูลคลุมเคลือ ให้ข้อมูลที่ยังไม่ถึงเวลาเปิดเผย ให้ข้อมูลแบบประสงค์จะกลบประเด็นเดิม แต่กลับกลายเป็นการสร้างประเด็นข่าวใหม่ ก็จะเกิดผลเสียให้กับองค์กรในระยะต่อมาได้ทั้งสิ้น ผลที่ตามมาก็คืออาจจะทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ไม่ไว้วางใจ คู่แข่งใช้เป็นหลักฐานในการอ้างอิง เพราะเป็นเรื่องราวที่ปรากฎอยู่ในสื่อ จนกระทั่งองค์กรของเราอาจกลายเป็นจำเลยของสังคมอย่างไม่รู้จบ
บางกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทัศนะของเรา แม้จะเป็นเรื่องไม่รุนแรง เช่น เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้กองขยะ ถ้าประเมินตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ก็อาจสรุปได้ว่า ไม่น่าจะมีข้อมูลอะไรที่เป็นสาระพอที่ให้สื่อมวลชนสามารถนำไปเป็นข่าวเผยแพร่ในสื่อที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาได้ แต่ปรากฎว่ากองขยะนั้นบังเอิญเป็นกองขยะที่มีวัสดุซึ่งก่อให้เกิดควันดำพวยพุ่งขึ้นมามากมาย กระจายอยู่เหนือบริเวณโรงงานของเรา อย่างน่าสะพึงกลัวแก่ผู้พบเห็น และก็เป็นที่ทราบกันดีว่า สมัยนี้โทรศัพท์ทุกคนบันทึกภาพได้ทันที
ดังนั้นโอกาสที่ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียง หรือผู้ที่บังเอิญผ่านมาพอดีจะบันทึกภาพไว้ได้ ก็มีโอกาสสูงเมื่อภาพนั้นถูกส่งไปทางสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็จะเป็นเรื่องในคราวนี้ ประจวบเหมาะกับมีชาวบ้านช่างพูดที่ผ่านไปบริเวณโรงงานที่เกิดเหตุพอดี จึงรายงานข่าวสดเข้ามาทางรายการวิทยุ ก็จะทำให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต ซึ่งเรื่องทำนองนี้เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้”
ดังนั้น หากโรงงานเราเกิดเหตุเพลิงไหม้ หรือเกิดมีเสียงคล้าย ๆ กับการระเบิดใด ๆ ขึ้นภายในโรงงานเราก็ตาม สิ่งที่ควรจะลงมือปฏิบัติเป็นสิ่งแรกพร้อม ๆ ไปกับการระงับเหตุก็คือ ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ในพื้นที่โรงงานต้องทำการประเมินว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จะส่งผลถึงความรู้สึก การจินตนาการ การรับรู้ ให้กับผู้ที่กำลังสัญจรไปมา หรือผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงนั้นอย่างไร และสำหรับปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด หรือเห็นควันไฟในปริมาณที่ปรากฎอยู่นั้น เขาจะคิดอย่างไร

แน่นอนที่สุด การประเมินเช่นนี้ท่านผู้บริหารต้องไม่นำไปผูกติดกับ การประเมินความรุนแรงที่จัดอยู่ใน ระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ของเรื่องการจัดการในภาวะวิกฤต (Crisis Management) เพราะจะทำให้ท่านตัดสินใจผิดโดยง่าย เนื่องจากเรื่องความรู้สึกของชาวบ้าน กับเหตุการณ์จริง หรือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ณ ที่เกิดเหตุการณ์ มันเป็นคนละเรื่องกัน

เมื่อมีการประเมินในขั้นต้นแล้ว เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่า เราจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป สำหรับองค์กรที่มี “แผนการบริหารจัดการการสื่อสารในภาวะวิกฤต ( Crisis Communication Plan )” เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ก็เปิดแผนและลงมือปฎิบัติตามนั้นได้เลย แต่สำหรับองค์กรที่ยังไม่ได้เตรียมพร้อมเรื่องแผนไว้ แต่เคยผ่านการฝึกอบรมมาแล้ว ก็ต้องเรียกความจำที่ได้ร่ำเรียนกันมาโดยด่วน สำหรับองค์กรที่ไม่เคยเตรียมอะไรไว้เลย ก็จำเป็นต้องเร่งระดมสมองจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการตัดสินใจที่ถูกต้อง แม่นยำ

ทุกท่านต้องจำไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้น ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้าม หรือเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะปัจจุบันสื่อมีความเร็วสูง มีการแข่งขันกันนำเสนอข่าวในเชิงลึก และมีผู้คนสนใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของอุบัติภัยและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นทุกครั้งที่ท่านตัดสินใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป นั่นคือการชี้ชะตากรรมขององค์กร ไม่ควรคิดว่าองค์กรรอดเพราะโชคช่วยเสมอ แต่ควรมีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าจะดีกว่า ตอนต่อไปเราจะคุยกันถึงองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในสายการผลิตจะพบวิกฤตข่าวสาร ได้อย่างไรบ้าง

ตอนที่ 2

สำหรับองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในสายการผลิต หรือไม่มีโรงงานผลิตอยู่ ก็มิอาจจะรอดพ้นจาก “วิกฤตข่าวสาร” ไปได้

เพราะวิกฤตข่าวสาร ไม่ได้เกิดจากผลพวงของเหตุที่มาจากโรงงานที่มีการผลิตเท่านั้น แต่ปัจจัยที่จะต้องระมัดระวังและอาจคาดไม่ถึงก็คือ “มนุษย์” นั่นเอง ปัจจัยแรก ที่ควรจะคำนึงถึงก็คือ “ความขัดแย้ง” ที่อาจเกิดขึ้นภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นระดับบอร์ด หรือ ระดับบริหาร ซึ่งต่างคนต่างกล่าวอ้างว่ารักองค์กร และปัญหาจะเริ่มขึ้นเมื่อต่างคนต่างนำข้อมูลความลับของอีกฝ่ายหนึ่งออกมาเปิดเผย เชื่อเถิดว่า ไม่ว่าจะเปิดเผยในรูปแบบใด องค์กรก็คือผู้รับกรรมทั้งสิ้น
สำหรับปัจจัยแรกนี้ อาจจะถือได้ว่าวิกฤตข่าวสารน่าจะมีความรุนแรงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ไม่ใช่เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ใจ หรือความตั้งใจดีที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เพราะถ้าเป็นเรื่องความบริสุทธิ์ใจ ที่มีเจตนาจะทำให้มะเร็งร้ายในองค์กรหายไปจริง ๆ

แนวทางแก้ไขบางกรณีก็จะทำได้โดยง่าย คือ ปล่อยให้เรื่องราวที่เป็นวิกฤตข่าวสารนี้สุกงอมเสียก่อน แล้วเจ้าของกิจการค่อยผ่าตัดใหญ่ ตามด้วยการวางแผนสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในภายหลัง ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ บางกรณีไม่สามารถรอให้สุกงอมได้ เนื่องจากจะเกิดความเสียหายมากขึ้น เจ้าของก็ต้องรีบผ่าตัดทันที ด้วยการวางแผนอย่างรอบคอบ แต่ถ้าเป็นความขัดแย้งบนผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่จะจบลงได้แบบสวยงามเด็ดขาด และเรื่องทำนองนี้ จะส่งผลให้เกิดวิกฤตศรัทธาแก่ พนักงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น ฯลฯ ตามมาด้วย

ปัจจัยที่สอง ที่ควรคำนึงถึง คือ “ตัวผู้บริหารในองค์กร” ที่มีจิตใจฝักใฝ่กับคู่แข่ง และมีเจตนาที่จะทำร้ายองค์กร โดยทะยอยปล่อยข่าวในทางลบก็จะเกิดปัญหาในที่สุด แต่ผู้บริหารประเภทนี้เราพอจะหาร่องรอยได้ว่าใครคือต้นตอที่ทำให้เกิดวิกฤต ข่าวสาร แต่ที่เลวร้ายกว่าก็คือ ในกรณีที่เป็นบุคลากรระดับบริหาร ที่เคยชินกับการใช้คำพูดให้องค์กรเสียหายโดยมีนิสัยชอบพูดแบบใส่สีตีไข่ หรือพูดแบบ เอาดีเข้าตัวโยนความชั่วให้คนอื่น หรือเก็บความลับขององค์กรไม่ได้ โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดวิกฤตข่าวสารขึ้นมาได้ และไม่มีทางแก้ไขตราบเท่าที่ผู้บริหารผู้นั้นยังคงอยู่ในตำแหน่ง
ปัจจัยที่สาม คือ “พนักงานภายใน” ที่ไม่พอใจผู้บริหารขององค์กร เพราะเข้าใจว่า สิ่งที่องค์กรกำลังปฏิบัติอยู่นั้น เป็นการเอาเปรียบสังคม ทำร้ายสิ่งแวดล้อม ถ้าสิ่งที่พนักงานเข้าใจอยู่เป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือเข้าใจคลาดเคลื่อน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า องค์กรมีความอ่อนแอในการสื่อสารภายใน เพื่อสร้างความเข้าใจกับพนักงาน ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณแห่งความไม่เข้าใจนี้เกิดขึ้น จำเป็นอย่างยิ่ง ที่องค์กรต้องเร่งทำความเข้าใจโดยเร็วที่สุด และต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย
ปัจจัยที่สี่ ที่จะเกิดวิกฤตข่าวสารได้ก็คือ “กรณีที่องค์กรไม่ได้เป็นคนดีของสังคมจริง ๆ และพนักงานเริ่มทนไม่ได้” เริ่มมีการส่งข่าวให้สื่อมวลชนได้รับทราบอยู่เนือง ๆ ถ้าเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้น การสร้างความเข้าใจกับพนักงานย่อมทำไม่ได้ผล เพราะไม่ได้แก้ไขที่ต้นตอของปัญหา
ดังนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์ประเภทนี้ เจ้าของต้องถามตัวเองว่าเราจะเลือกทางเดินแบบไหน จะกลับตัวกลับใจ หรือจะดำเนินธุรกิจแบบเป็นผู้ร้ายอย่างที่เคยทำมาก่อน ถ้าตัดสินใจกลับตัวกลับใจการแก้ไขวิกฤตข่าวสารนี้ก็ทำได้ง่าย โดยการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนโดยเฉพาะประเทศไทย คนไทยลืมง่ายมาก ๆ เราก็จะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้โดยง่าย แต่ถ้าไม่สนใจกับวิกฤตนี้ปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อต่อไป ก็จำเป็นที่ทุกคนต้องเฝ้ามองว่า ตอนจบหรือตอนล่มสลายขององค์กรจะมาถึงเมื่อใด ด้วยรูปแบบอย่างไร เว้นไว้เสียแต่ว่าในช่วงแรกของวิกฤตข่าวสารที่เกิดขึ้น เจ้าขององค์กรอาจจะเป็นผู้ที่มีบุญวาสนา หรือมีอิทธิพลมาก เรื่องร้ายๆ ก็จะปรากฎออกมาก็จะต้องใช้เวลานานออกไปอีก แต่ปัจจุบันทุกคนย่อมรู้ดีว่าไม่มีความลับในโลก หรือ กรรมติดจรวดอาจจะรอดูความหายนะได้ในเวลาไม่นานนัก
ปัจจัยที่ห้า คือวิกฤตข่าวสารที่เกิดจาก “การที่บุคคลภายนอกเป็นผู้ให้ข่าวทางลบขององค์กรเรากับสื่อมวลชน” เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เราต้องหาข้อเท็จจริงก่อน ว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้ มีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่หรือไม่ ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากบุคคลภายนอกได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เรื่องแบบนี้สามารถใช้ การชี้แจงหรือเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในการรับรู้ข้อมูลที่ ถูกต้องได้ แต่ถ้าเป็นเจตนาร้ายที่อาจจะเกิดมาจากคู่แข่ง หรือกลุ่มผลประโยชน์ เรื่องแบบนี้คงจะใช้แนวทางปฏิบัติแบบวิธีบนดินอย่างเดียวไม่ได้ คงต้องหาวิธีการใต้ดินควบคู่กันไปด้วย
ปัจจัยสุดท้าย คือ “ข่าวลือ” ไม่ว่าข่าวลือเรื่องนั้นๆ จะเกิดขึ้นมาอย่างไรก็ตาม ผู้บริหารอย่าคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะถ้าเราไม่ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม จะทำให้องค์กรต้องเสียเวลา และต้องใช้กำลังภายนอกภายใน ร่วมกับการใช้ความพยายามในการสร้างความเข้าอกเข้าใจอย่างสูง ที่จะแก้ปัญหาซึ่งองค์กรที่มองข้ามเรื่องนี้ต้องเผชิญชะตากรรมทำนองนี้มา เยอะแล้ว
ต่อไปเราจะมาวิเคราะห์ถึง วิกฤตข่าวสารที่เกิดจากการสื่อสารผ่านเทคโนโลยี่สมัยใหม่ ที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด
ตอนที่ 3

วิกฤตข่าวสารที่มาพร้อม ๆ กับการสื่อสารที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ทุกคนใช้กันจนกลายเป็นปัจจัยหลักในชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย

วิกฤตข่าวสารที่ไม่ควรมองข้าม ก็คือ วิกฤตที่มาพร้อม ๆ กับการตั้งกระทู้ การ Post ภาพ หรือ ข้อความ ใน facebook, twitter, Webboard ต่าง ๆ หรือที่เรียกกันว่า Social Network ซึ่งปัจจุบันคนทั่วโลกให้ความสนใจและมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุที่จะเกิดวิกฤตข่าวสารจากสื่อประเภทนี้ก็คือ เมื่อมีคนเข้าไป Post ข้อความ ภาพนิ่ง หรือวิดีโอคลิปเป็นที่สนใจมากขึ้นจนเป็น Talk of the town จึงทำให้สื่อมวลชนต่าง ๆ อยู่เฉยไม่ได้ จำเป็นต้องเจาะข่าวเชิงลึก เพื่อหาข้อมูลที่แตกต่างมานำเสนอ ซึ่งเรื่องทำนองนี้อาจเกิดในระดับบุคคล หรือระดับองค์กรก็ได้

หากเป็นเรื่องของบุคคลธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จักมากนักการ Post ข้อความนั้นก็จะทำให้บุคคลนั้น ๆ กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมาทันที แต่ถ้าบุคคลนั้น เป็นผู้บริหารในองค์กรใหญ่ๆ ก็อาจจะสร้างปัญหาพัวพันมาถึงตัวองค์กร จนกลายเป็นวิกฤตขององค์กรไปได้ในที่สุด

เรื่องที่จะต้องให้ความระมัดระวังในสื่อประเภทนี้คือ แม้ว่าข้อมูลไม่ได้ลงในสื่อหนังสือพิมพ์ แต่ก็อาจสร้างความเสียหายให้ก็องค์กรได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ตัวอย่าง เช่นการร้องเรียนในการให้บริการขององค์กรที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก หากเคราะห์ซ้ำกรรมซัด บังเอิญมีผู้มีประสบการณ์ร่วม เริ่มเข้ามาให้ความเห็นเพิ่มขึ้นเริ่ม ๆ แม้สื่อมวลชนไม่ได้หยิบประเด็นนี้มาเล่นข่าว แต่องค์กรต้องระลึกไว้เสมอว่า ถ้าเกิดกระแสการร่วมแรงร่วมใจกันร้องเรียนได้มากมายขนาดนั้น ต้องมีความบกพร่องเกิดขึ้นในการให้บริการส่วนใดส่วนหนึ่ง ที่องค์กรได้มองข้ามมาตลอดเวลาก็ได้
แต่ที่สำคัญมากที่สุด ถ้าบังเอิญมีผู้ที่ร้องเรียนรู้จักกับนักข่าว คอลัมนิสต์ หรือนักจัดรายการวิทยุ โทรทัศน์ และเคยพบเจอเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน ก็อาจจะจุดประกายให้สื่อนั้น ๆ นำมาเล่นเป็นข่าวใหญ่ได้เช่นกัน โดยจะเห็นตัวอย่างข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ ต้นตอของภาพและข้อความก็มาจากสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง หรือเป็นองค์กรที่มีผู้บริหารเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ก็จะทำให้ข่าวนั้นกลายเป็นข่าวใหญ่ได้
เราต้องยอมรับว่า ผู้บริโภคในสมัยก่อนถ้าไม่พอใจการให้บริการขององค์กรใด ก็ต้องหวานอมขมกลืน แต่ปัจจุบันนี้ สื่ออีเล็คโทรนิคส์ กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ความคับข้องใจได้เป็นอย่างดี และสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นความคับข้องใจจริง ๆ ของผู้บริโภคก็คือ โดยพื้นฐานนิสัยคนไทยแล้ว คนไทยจะไม่ชอบการเขียน ถ้าบอกให้ร้องเรียนด้วยการเขียน เรื่องเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้รับการถ่ายทอด เพราะขี้เกียจเขียน ดังนั้นถ้าคนไทยสามารถจะใช้ความอดทนเขียนถ่ายทอดความรู้สึกได้ยาวมาก ๆ แสดงว่าต้องอัดอั้นถึงที่สุด นี่คือข้อพิสูจน์ว่า ผู้บริหารต้องไม่มองข้ามในจุดนี้
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่า การจุดประกายบน Webboard จะทำให้เกิดกระแสความสนใจขึ้นมาได้ มีทั้งความแรงและรวดเร็วจริง ๆ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องราวขององค์กร หรือผู้บริหารของเราไม่ว่าจะปรากฎในสื่ออีเลคโทรนิคส์ประเภทใดก็ตาม เราไม่ควรมองข้าม สำหรับองค์กรที่มองการณ์ไกล จำเป็นต้องมีบุคลากร หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าระวังสื่อประเภทนี้ตลอดเวลา เพื่อว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที
จาก 3 ตอน ที่ได้กล่าวเรื่องวิกฤตข่าวสารมานี้ สรุปได้ว่า เราจะวิเคราะห์ว่าข่าวสารที่เผยแพร่ในสื่อ ถึงขั้นวิกฤตแล้วหรือไม่ สามารถวิเคราะห์ได้จากการให้ความสำคัญของสื่อแต่ละประเภท ว่าสื่อนั้น ๆ ให้ความสำคัญอยู่ในระดับใด ได้แก่ การวิเคราะห์จากความต่อเนื่องของการนำเสนอข่าว ความรุนแรงของการนำเสนอ ถ่ายทอดทางตัวหนังสือ หรือพฤติกรรมแฝง ประเด็นหรือกระแสที่นำเสนอ เป็นต้น
ความเสียหายที่เกิดจากวิกฤตข่าวสารก็คือ จำนวนของประชาชนที่ได้รับข้อมูลจากสื่อมวลชน หรือสื่ออีเลคโทรนิคส์ ในแต่ละวันที่ข่าวสารปรากฎออกมา เราไม่สามารถคำนวนได้ว่ามีใครบ้างได้เสพข่าวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว มีคนที่เชื่อในข่าวนี้กี่เปอร์เซนต์ แต่ถ้าเป็นองค์กรนี้มีความล่อแหลมที่จะทำให้ผู้รับข่าวสารเชื่อได้ว่า ข่าวทางลบที่นำเสนอนั้นเป็นจริง จะเป็นปัญหายิ่งใหญ่ขององค์กรที่ต้องตามแก้ไขอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดคือ การป้องกัน โดยการสร้างภูมิคุ้มกันไว้ล่วงหน้า หน่วยงานควรจะมีแผนที่จะให้ความรู้ และปลูกจิตสำนึกให้กับบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยี และระบบไอทีให้ทันสมัย เพื่อจะติดตามข้อมูลข่าวสารได้อย่างไม่ตกหล่น องค์กรจำเป็นต้องลงทุนเพื่อให้องค์กรได้ก้าวไปเท่าทันกับเทคโนโลยีที่ก้าวหนีเราไปทุกวัน เพื่อให้เราไม่เกิดวิกฤตข่าวสารในที่สุด และที่สำคัญผู้บริหารที่ไม่เคย เหลียวมองสื่อสังคมออนไลน์ ชั่วโมงนี้ยังไม่สายที่จะศึกษาและทำความรู้จัก เพราะมันไม่เพียงแค่ของเล่นคนรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นเท่านั้น แต่เป็นอีกแหล่งต้นตอของเหตุวิกฤตข่าวสาร ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่สร้างมา เกือบตลอดชีวิตอย่างคาดไม่ถึง!