เส้นทางสายไหมใหม่ เส้นทางสำหรับขนสินค้า ในโครงการ One belt, One Road

สงขลาสู่เมืองมรดกโลก

ภาคีคนรักเมืองสงขลา ได้ประกาศตั้งเป้าหมายให้สงขลาเป็นเมืองมรดกโลกอย่างมุ่งมั่น เพราะ George Town (ปีนัง) และ Melaka ในมาเลเซีย ที่ข้ามชายแดนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง UNESCO ได้ประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกไป 11 ปี แล้ว
Picture of ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​
ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​

เผยแพร่: 22 มิ.ย. 2560

แชร์บทความนี้

เมื่อสงขลาหันมาพิจารณาตัวเอง ก็เห็นว่าเขาเป็นเมืองที่มีอดีตในหลายห้วงเวลา สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม ที่ยังหายใจอยู่

ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองเหล่านั้นในมาเลเซีย จึงชวนกันลงเงิน ลงแรงทำงานเพื่อจะก้าวไปสู่จุดนั้น สงขลา หรือเมืองบ่อยางเดิมเป็นเมืองพหุสังคมที่มีทั้งคนไทย มุสลิม และจีน มาอยู่ร่วมกัน คนจีน ที่อพยพมาอยู่สงขลาช่วงธนบุรี และต้นรัตโกสินทร์ เป็นพลวัตแรงงานที่สำคัญและทำให้เกิดตัวเมืองสงขลาชัดเจนขึ้น ต่อมาคนจีนก็ได้ทิ้งสถาปัตยกรรมจีนในสงขลาตั้งแต่จวนข้าหลวงไปถึงห้องแถวไว้มากมาย แต่เมื่อตำบลโคกเสม็ดชุน ได้กลายเป็นอำเภอหาดใหญ่ และเป็นชุมทางของเส้นทางโลจิสติกส์ ลงไปเชื่อมกับประเทศ Malaya หาดใหญ่ก็กลายเป็น Boom Town แล้วชิงความสำคัญจากตัวจังหวัดสงขลาไป สงขลาค่อย ๆ กลายเป็นเหมือนกับเมืองที่ถูกทิ้ง
ปัจจุบันด่านที่สะเดาที่เข้ามายังหาดใหญ่ กลายเป็นด่านที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยปีละประมาณ 5 แสนล้านบาท และยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านด่านนี้เข้ามาในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 2 ล้านคนต่อปี ถึงวันสุดสัปดาห์ หาดใหญ่จะแน่นไปด้วยคนมาเลเซีย ที่เข้ามาเที่ยว และโดยเฉพาะหน้าเทศกาลสงกรานต์ ทั้งด่านสะเดา และเมืองหาดใหญ่แน่นแทบแตก แต่ตัวจังหวัดสงขลากลับเงียบสงบ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเป็น Boom Town เหมือนหาดใหญ่เลยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
โชคดีเหลือเกิน…. ที่ความเงียบสงบ สามารถเก็บสงขลาไว้เป็นเมืองเก่า ไม่ให้ถูกรื้อแล้วกลายเป็นศูนย์การค้าเหมือนหาดใหญ่ สงขลาจึงยังมีอาคาร และงานสถาปัตยกรรมอายุ 60-100 กว่าปีอยู่มากมาย อาคารสูงที่สุดในตัวเทศบาลเมืองสงขลาในวันนี้ มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่สูง 7 ชั้น ซึ่งเหมือนกับหอคอยกลางเมือง นอกนั้นเทศบาลได้ควบคุมความสูงของอาคารไว้หมด
ภาพจาก Drone ทำให้เห็นบ้านเก่าย่านถนนนครนอก นครใน และถนนนางงามหลายหลังมีหลังคาจีนที่มุงด้วยกระเบื้องแดงที่ทำจากเกาะยอนั้นงามนัก เมืองสงขลามีความขลังในตัวเอง และตอนนี้ คนสงขลากำลังค้นหาตัวเอง หลังจากที่เพิกเฉยมานาน พระเจ้าแผ่นดินของเราเสียอีก ที่ทรงรู้จักแม้กระทั่งถนนบางสายของสงขลา …ในพระราชหัตถเลขาของ ร.5 ช่วงที่ทรงพำนักที่เมือง Sanremo (San Remo) เมืองชายแดนอิตาลีใกล้ฝรั่งเศส และโมนาโค ทรงเปรียบเทียบความหมายของคำว่า “Riviera” กับชื่อถนน “ปละท่า” เมืองสงขลา ฯลฯ
สงขลาไม่มีโรงแรมใหญ่ เพราะคนจะพักที่หาดใหญ่ แล้วเดินทางมาเที่ยวสงขลา ซึ่งห่างเพียง 30 กม. แต่เมื่อสงขลาปรับตัว ก็เริ่มมีคนมาเที่ยวและพักที่สงขลา ต่อไปคนมาเที่ยวสงขลาน่าจะคล้าย ๆ คนไปเที่ยว น่าน หรืออัมพวา ซึ่งจะต้องการที่พักประเภท Boutique Hotel มากกว่า ขณะนี้ก็เห็นมี Boutique Hotel ชื่อ “บ้านในนคร” และ “สงขลาแต่แรก” ที่เปิดตัวขึ้นมาแล้ว …น่าพักเชียวค่ะ ต่อไปอาจจะมีธุรกิจโฮมสเตย์ขึ้นที่สงขลา
สมัยนี้ศิลปวัฒนธรรมนั้นมีราคา และราคาแพงเสียด้วย หากการทำงานของภาคีคนรักเมืองสงขลาสำเร็จ สิ่งที่ตามมาคือ เมืองสงขลาจะเปลี่ยนบทบาท จากเมืองที่เคยหลับไหล กลายมาเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจในภูมิภาคอาเชียนขึ้นมาทันที ขอย้ำว่า… “ในอาเชียน” ค่ะ
ตอนนี้สงขลากำลังเดินหน้าฟื้นเรื่องราว และพื้นที่ในอดีตมาชำระให้ถูกต้องและชัดเจน กรมศิลปากรกำลังขุดแนวกำแพงเมืองเก่า เขากำลังจะนำสายไฟฟ้าที่ถนนบางสายลงดิน จวนข้าหลวงเก่าสงขลาซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ขณะนี้ เป็นอาคารเก่าทรงจีนขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์ และสวยที่สุดในอาเชียน ทางภาคี ฯ กำลังขอคืนพื้นที่อาคารพาณิชย์ หน้าจวน ฯ เพื่อเปิดโล่งให้ได้พื้นที่สีเขียว ออกไปเชื่อมกับทะเลสาป ซึ่งจะทำให้จวน ฯ เก่า สง่างามโดดเด่นขึ้นไปอีก แต่สงขลาต้องดูแลระบบจอดรถยนตร์ในเมือง เพราะถนนในเมืองเก่านั้นแคบ ต้องทำอะไรสักอย่างที่แก้ปัญหานี้ ขอแนะนำให้ศึกษาแบบญี่ปุ่น
คนสงขลาใช้ชีวิตแบบพื้น ๆ พวกเขานั่งกินอาหารในร้านข้างทางแบบง่าย ๆ เชื่อไหมคะว่า ร้านอาหารในตัวเมืองสงขลามีติดแอร์ ฯ อยู่เพียงร้านเดียว ร้านอาหารที่ดังมาตั้งแต่รุ่นปู่ มักจะมีแค่พัดลมติดเพดาน ซึ่งเหมือนกับปีนังเลยค่ะ
คนสงขลาอยู่ในพหุสังคม ที่เป็นรูปแบบของตัวเอง คนมุสลิมขายข้าวมันไก่ คนจีนขายโรตี ไอติมยิว(จิว)ไข่สดใส่ถ้วยแบบโอ่ง ซาลาเปาร้านดังในสงขลาลูกเดียวมีขนาดใหญ่เท่ากับที่กรุงเทพฯ ขาย 4-5 ลูก ร้านก๋วยเตี๋ยวที่ศาลหลักเมือง ต้องมุดเข้าไปนั่งกินใต้ถุนโรงงิ้ว หนมหวัก(หาดใหญ่) และหนมกระบอก(น้ำน้อย) นั้นคืออาหารกินเล่น ที่เกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา สุเหร่าของมุสลิมในสงขลา เป็นสุเหร่าที่มีงานสถาปัตยกรรม เหมือนกับวิหารที่วัด(พุทธ)มัชฌิมาวาส เพราะ ร.5 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นพร้อมกัน พระองค์ยังพระราชทานเงินให้ซื้อ โคมระย้าติดภายใน และเสด็จเยี่ยมสุเหร่านี้ถึง 2 ครั้ง เมื่อ ร.6 เสด็จประพาสสงขลา ก็ได้เสด็จไปเยี่ยมด้วย
ยังมีงานอีกมากพอสมควร สำหรับภาคีคนรักเมืองสงขลาที่จะต้องทำ เพื่อจะไปให้ถึงฝั่งฝัน ตอนนี้พวกเขาวุ่นกันน่าดู แต่พวกเขาก็ทำงานมาได้ส่วนหนึ่งแล้วอย่างน่าชื่นชม ในเวลาที่เร็วมาก ขณะนี้นักวิชาการทั้งจากที่สงขลา และจากทางกรุงเทพ ฯ มาร่วมมือกับภาคธุรกิจสงขลาเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะผลัก ดันให้สงขลาสู่เมืองมรดกโลก ซึ่งจะทำให้สามารถฟื้นอดีตให้สงขลาน่าสนใจ และน่าเรียนรู้ไม่น้อยไปกว่า George Town (ปีนัง) หรือ Melaka
การทำให้ภูมิสถานของตนเอง สามารถบอกถึงอัตลักษณ์ เรียกคนให้มาเยือน ได้เห็นคุณค่าและชื่นชม จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยโดยรวม ซึ่งจะส่งประโยขน์ให้กับภาคการท่องเที่ยว และธุรกิจ SME ที่เกี่ยวข้องกับสงขลาเกิดขึ้นอีกมากมาย