นอกเหนือจากการเข้าใจเรื่อง ”การตีความ” ซึ่งกันและกันแล้ว ในระดับองค์กร ต้องปลูกฝังให้บุคลากรทุกคนได้แยกแยะเรื่อง ระดับความลับของข้อมูลที่ตนเองทำงานอยู่ ว่ามีอะไรที่ต้องชี้แจงอย่างเปิดเผยให้ทุกคนได้ทราบ ไปจนถึงพิจารณาว่าบางอย่าง คือ ความลับขององค์กร ไม่ควรจะสื่อสารออกไป บางคนซื่อมาก อธิบายตรงไปตรงมาว่า “ความลับค่ะ นายบอกว่าพูดไม่ได้” พังค่ะพัง พังสถานเดียว เนื้อหาถูกต้อง..แต่ไม่ต้องพูด.. แค่นี้ก็คิดไม่เป็นหรือ? ก็คิดไม่เป็นนี่แหละค่ะ ที่ทำให้องค์กรเข้าตาจนมานักต่อนักแล้ว..เฮ้อ..กลุ้มใช่ไหมคะ
ปัจจุบันมีเด็กคิดไม่เป็น คิดไม่รอบคอบเยอะมาก เป็นความผิดของใคร? อาจจะเป็นเพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เด็ก ๆ เรียนลัดได้เร็ว จึงอาจจะเกิดการลัดวงจรในการคิดก็ได้ ป่วยการที่จะหาว่าเป็นความผิดของใคร เพราะเรื่องราวมันล่วงเลยมาแล้ว ถามว่าเด็กพวกนี้เก่งหรือไม่ เก่งค่ะ และเก่งมากด้วย แต่ความเก่งกับความคิดมันเป็นคนละเรื่องกันค่ะ ดังนั้นหน้าที่ขององค์กรเมื่อรับพวกเขามาทำงานแล้ว ก็ต้องเติมสิ่งที่ขาดหายไปให้เต็ม เพื่อไม่ให้เกิดเป็นความเสี่ยงขององค์กรขึ้นมาได้ค่ะ
ถามว่าถ้าปล่อยให้เขาเป็นไปตามธรรมชาติจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า “น้องน้อย”เหล่านี้พูดในเรื่องที่เป็นความอ่อนไหว(Sensitive) อาจจะทำให้องค์กรที่อยู่อย่างปกติสุข กลายเป็นองค์กรที่เกิดภาวะวิกฤติขึ้นมาได้ค่ะ ต่อมาถ้าองค์กรเกิดภาวะวิกฤติขึ้นมาจริง ๆ ท่านเชื่อหรือไม่ การสื่อสารจะเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรมองข้าม กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง บางองค์กรถึงกับย่อยยับไปเลยก็มี เพราะถ้าไม่มีการสื่อสารจากองค์กร ผู้ที่ประสงค์ร้ายก็จะยัดเยียดการสื่อสารที่เป็นข้อมูลทางลบมาให้โดยง่ายดาย