One Voice Message การสื่อสารอย่างเป็นหนึ่ง ให้อยู่ในแนวทางขององค์กร

บทความพิเศษ

One Voice Message การสื่อสารอย่างเป็นหนึ่งเดียว

One Voice Message การสื่อสารอย่างเป็นหนึ่งเดียว

” ตอนนี้ หาก CEO ตั้ง Key Message โดยประกาศว่า… “ปีหน้าเราจะมุ่งให้การบริการเราติดอันดับบริษัทที่มีกำไรเพิ่มขึ้น xx% ปรับ “จุดอ่อน” ให้กลายเป็น “จุดแข็ง” และนำไปสู่การเป็น “จุดขาย” ให้ได้ “
Picture of ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​
ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​

เผยแพร่: 15 ก.ค. 2558

แชร์บทความนี้
Picture of ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​
ม.ล.อัจฉราพร สุขสวัสดิ์​

เผยแพร่: 15 ก.ค. 2558

แชร์บทความนี้
ตอนที่ 1

หน่วยงานต่าง ๆ จะนำ Key Message ของ CEO ไปแตกย่อยเป็น Key Message ให้แต่ละหน่วยงานกันต่อไป

หากใครจะลองซ้อมมือในการการเขียน Key Message ก็ลองกลับไปดูตัวอย่างที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ในตอนที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า Key Message ของแต่ละองค์กรจะออกมาไม่เหมือนกัน เพราะเงื่อนไขของแต่ละองค์กรนั้นต่างกันค่ะ ผู้วางแผนการสื่อสารในองค์กรจะควบคุมดูแลให้หน่วยงานย่อยเขียน Key Message แยกไปตามแต่ละหน่วยงาน โดยให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไปกับนโยบายบริษัท และตามแผนงานระยะสั้น ระยะยาว และกิจกรรมในปฏิทินองค์กร และต้องคิดเผื่อไว้ในกรณีมีการปรับหรือเปลี่ยนแปลง เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ปกติ หรือกรณีฉุกเฉินแทรกซ้อนเข้ามาด้วย
นักสื่อสารที่ไม่ค่อยมีลูกเล่นมักจะเขียน Key Message ซ้ำ ๆ หรือคล้าย ๆ กัน แล้วแจกจ่ายกันไปแต่ละหน่วยงาน ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกค่ะ… แต่พวกนักสื่อสารที่มีฝีมือเขาจะไม่ค่อยทำอะไรทื่อ ๆ ต้องทำอะไรให้ดูมีลูกเล่นมากกว่านั้น การเขียน Key Message ให้ สิบ ๆ หน่วยงานเหมือนกันหมด เป็นการสื่อสารที่ไม่มีสีสันค่ะ อย่าทำตัวเป็นนักสื่อสารที่ไร้ฝีมือเป็นหนังขาวดำอย่างนั้นนะคะ …โลกนี้ยังมีหลายสีในสเปกตรัมให้นำมาใช้ค่ะ นักสื่อสารระดับเทพ มักจะเติมแต่งใส่โน่นใส่นี่ให้มันจี๊ดจ๊าดเข้าไป คนที่รับสารก็จะดูตื่นเต้น ได้เห็นได้ยินแล้ววี้ดว้ายคันไม้คันมืออยากทำขึ้นมาทันที
หากจะเปรียบการปฏิบัติการในขั้นตอนนี้ได้ชัดเจน ผู้เขียนขอให้ดูการเขียนโน้ตในวงดนตรี Orchestra ท่านจะเห็นว่า เครื่องดนตรีในวง Orchestra แต่ละชิ้นต่างก็มีโน้ตของตัวเอง และก็เล่นไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ถ้าลองฟังเขาเล่นเดี่ยว ๆ อาจนึกไม่ออกว่ากำลังเล่นเพลงที่เราฟังอยู่ แต่เมื่อได้ฟังเครื่องดนตรี ซึ่งก็มีโน้ตต่าง ๆ กันมาเล่นพร้อม ๆ กัน โดยมีผู้อำนวยการเพลง ซึ่งเปรียบเสมือน CEO ส่งสัญญาณให้เล่นให้เป็นไปตามห้องเสียงตามโน้ตเพลงที่ได้เขียนแจกจ่ายไป มหัศจรรย์ค่ะ… ที่เสียงดนตรีที่เล่นกันคนละอย่างนั้น เมื่อได้ฟังรวมอย่างผสมผสานกันแล้ว กลับทำให้เกิดเพลงไพเราะได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทุก Key Message ที่แตกแยกย่อยไป เพื่อขับเคลื่อนกิจกรรมให้เกิดขึ้นในแต่ละหน่วยงานขององค์กรนั้นก็เช่นเดียวกัน นักสื่อสารที่เขียน Key Message ที่เจ๋งจริง ๆ ต้องทำให้ได้ประมาณนั้น ถึงตอนนี้เราต้องมาพูดถึงเรื่องสำคัญที่เข้ามามีบทบาทอีกอย่างหนึ่งค่ะ…เรื่องการสื่อสารนั้น ไม่ว่าท่านจะแตก Key Message แยกย่อยกระจายไปตามความรับผิดชอบ ของแต่ละหน่วยงานให้ดูตื่นเต้นสักเพียงใด แต่เมื่อนำมารวมกันแล้ว ต้องพูดหรือกล่าวเรื่องเดียวกัน หรือหากเป็นการเล่นดนตรีก็ถือว่าเล่นเพลงเดียวกัน ในทางการสื่อสารเขาเรียกว่า… เป็น One Voice Message ค่ะ
One Voice Message เป็นตัวกำหนดอันสำคัญในการควบคุม Key Message ไม่ให้แตกแถวออกนอกแนวทางที่องค์กรตั้งไว้ One Voice Message จะเป็นตัวสร้างน้ำหนักให้กับเนื้อหาและการสื่อสารทั้งองค์กรให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้อำนวยการสื่อสารในองค์กรต้องควบคุม Key Message ที่แตกย่อยไปอย่างใกล้ชิด และต้องเป็นตัวเชื่อมกับ CEO หรือคณะกรรมการซึ่งควบคุมนโยบายองค์กรให้นำไปสู่ One Voice Message
เช่น …หากสายการบินสายหนึ่งตั้ง Key Message ว่า “ปี XXXX เราต้องเป็นสายการบินที่ดีที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก และได้กำไร XXXX ล้านบาท” ฝ่ายปฏิบัติการบินอาจตั้ง Key Message ว่า …“บินถึงที่หมายตรงเวลาและปลอดภัย ประหยัดเชื้อเพลิงในการบิน” ฝ่ายโภชนาการอาจตั้ง Key Message ว่า “อาหารในทุกเที่ยวบินต้องจัดแต่งให้แปลก และจำได้ติดตา คุ้มค่าโดยสาร และเหนือกว่าคู่แข่งขัน”…(ไม่ใช่แจกขนมแค่คำเดียว)
ฝ่ายปฏิบัติการภาคพื้นดินอาจตั้ง Key Message ว่า … “สร้างความพึงพอใจแรกพบให้กับผู้โดยสารตั้งแต่งานบริการภาคพื้นดิน” ฝ่ายปฏิบัติการในเครื่องบินอาจตั้ง Key Message ว่า …”เครื่องบินเป็นนวัตกรรมใหม่ บุคลากรเชี่ยวชาญในด้านให้ความปลอดภัยต่อผู้โดยสาร และให้บริการเป็นเอกลักษณ์ตามที่องค์กรตั้งไว้ …และทุกหัวข้อต้องทำให้เกิด Wow!” ฯลฯ
จะเห็นว่าตัวอย่างจาก Key Message ที่แยกออกไปตามหน่วยงานต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานหลักแล้ว จากนั้นหน่วยงานที่แยกย่อยออกไปอีกมากมายก็จะเขียน Key Message ในงานปฏิบัติการตามสายงานของตนให้สอดคล้อง และสนับสนุนภารกิจ ซึ่งจะนำพาให้สายการบินสายนั้นก้าวไปสู่การเป็นสายการบินอันดับ 1 ใน 3 ของโลกให้ได้ และทุก Key Message ที่กล่าวมานั้น เมื่อรวมกันแล้วต้องเป็นภาพรวมที่พนักงานสามารถจะถ่ายทอดให้เป็น One Voice Message ได้ค่ะ
ตอนที่ 2

สร้าง “เอกภาพในการสื่อสาร” เพื่อช่วยการทำงานให้ “เอาอยู่”

การสื่อสารในการทำงานใหญ่ หรือการสื่อสารในองค์กรหรือหน่วยงานใหญ่ โดยเฉพาะองค์กร หรือหน่วยงานที่มีพื้นที่การทำงานในปริมณฑลเป็นพื้นที่กว้าง มีสาขามากมายทั่วประเทศ หรือทั่วโลก ต้องควบคุมกระบวนการของ One Voice Message การควบคุมกระบวนการทั้งหมด คือต้องจัดการเกี่ยวกับ เนื้อหา ช่องทางสื่อสาร และเวลาให้รัดกุม หากพูดกันในการทำงานแบบชาวบ้าน ก็ต้องพูดว่า… ต้อง “คุม” ไม่ให้ “หลุด” ไปจากเป้าหมายเด็ดขาด เพราะถ้า “หลุด” ไปแล้วจะกลายเป็น “เละ” ค่ะ

ในธรรมชาติของการทำงานด้านการสื่อสารนั้น คนทำงานด้านการสื่อสารมีโครงสร้างในการทำงานของตนอยู่ ซึ่งนักนิเทศศาสตร์จะแตกรายละเอียดออกไปเป็น Text(Message), Target Group, Media, Tool, Time, Budget…. แต่ไม่ว่านักนิเทศศาสตร์จะแตกรายละเอียดให้ดูเท่อย่างไร สิ่งที่ลืมไม่ได้หรือต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลานั้น คือเรื่อง Key Message ที่จะเข้าไปแฝงอยู่ใน Message ทุกชิ้นให้ได้อย่างแนบเนียน และ Key Message ที่กระหน่ำออกไปนั้น ต้องออกไปเป็นเรื่องเดียวกันนำไปสู่เป้าหมาย และวัตถุประสงค์เดียวกัน หรือการทำงานที่เป็น One Voice Message ค่ะ ถ้าจะพูดให้เป็นภาษา ‘ตี้ส สักหน่อยก็ต้องพูดว่า ต้องคุมสีสันและเทคนิค (Tone & Technique of Message Handling) ในการนำเสนอของ Key Message คือนอกจากจะคุมไม่ให้ “หลุด” แล้ว ต้องคุมให้ดำเนินการไปให้ดูดีด้วย

เพื่อให้เห็นภาพเรื่องนี้ชัดเจน ผู้เขียนขอนำท่านผู้อ่านกลับไปดูการทำงาน และการเคลื่อนไหวของการทำงานเกี่ยวกับข่าวสารทั้งของส่วนกลาง และของสื่อสาธารณะกันค่ะ การสื่อสารในภาวะวิกฤต เช่น ภัยพิบัตินั้น เขาถือว่าเป็นการสื่อสารในสภาวะฉุกเฉินระดับเดียวกับภาวะสงคราม เขาจะต้องตั้งผู้อำนวยการสื่อสารขึ้นมา 1 คน อาจเรียกว่าเป็น CEO การสื่อสารและข่าว ขึ้นตรงกับผู้นำประเทศ

เราลองนึกย้อนกลับไปดูในเหตุการณ์ตอนมหาอุทกภัยสิคะ ถามว่า …ท่านนึกว่าใครเป็นผู้อำนวยการเพื่อคุมสีสัน และกระบวนการ จากรัฐบาลส่วนกลางในตอนนั้น เราอาจจะไม่รู้ชื่อว่าเป็นใคร ? …ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีหรือไม่ ? …ซึ่งก็น่าจะมี แต่สำหรับความรู้สึกของคน กทม. ทั่วไป เมื่อย้อนกลับไปในเวลานั้นกลับไปนึกถึงคนที่มีอิทธิพลต่อการให้ข่าว และการดำเนินการของชีวิตที่มีภาพชัดอยู่ 2 คน คือ คุณ สรยุทธ สุทัศนะจินดา และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร (คุณยายท่านหนึ่งเรียกคุณ สรยุทธ์ ว่า ซะ ละ ยู้ด… และ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ ว่า …ชายอ้วน)

คุณ สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในภัยพิบัตินั้นโดยวิชาชีพ ส่วน ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลเรื่องภัยพิบัติในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบโดยตรง เมื่อวิกฤตอุทกภัยเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เนื้อหาหรือข้อมูลที่ออกมาจาก 2 คน นี้ มีผลต่อการรับรู้ ความน่าเชื่อถือ และการตัดสินใจของผู้คนจำนวนมากตามมาด้วย เอ… แล้วทำไมภาพ CEO การสื่อสาร และข่าวจากส่วนกลางคือฝั่งรัฐบาลจึงดูเลือน ๆ และไม่ชัดเจน
CEO การสื่อสารและข่าวในซีกรัฐบาล พยายามนำเอาคนโน้นบ้างคนนี้บ้างมาเปิดประเด็น และแสดงทัศนคติและเนื้อหาหลากหลายทางสื่อ TV ทุกเนื้อหา และกระบวนการเหล่านั้นความจริงแล้วล้วนแต่ดี แต่ CEO ข่าวคงไม่ได้ตั้งกรอบ และวางทิศทางไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อให้คนที่มาร่วมอภิปรายในแต่ละครั้งรับทราบว่า Key Message ที่รัฐบาลได้สร้างขึ้นหรือต้องการให้พูดเพื่อเข้าประเด็นอยู่ในกรอบอะไร พูดทำไม พูดเพื่ออะไร หวังผลอะไร ยิ่งมีการเสาะหาผู้รับเชิญมาคุยกันมากเข้า ก็ยิ่งกลายเป็น Talk Show ค่ะ…ทำให้ขาดแก่นเนื้อหาไปอย่างน่าเสียดาย

การที่ผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้ที่มาพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้หลากหลาย ไม่ได้เป็นการสร้างเอกภาพในการสื่อสาร One Voice Message ให้มีน้ำหนักมากขึ้นมาได้ แต่กลับทำให้สิ่งเหล่านั้นไปกลบเรื่องการช่วยเหลือชาวบ้านให้อ่อนลงไป ส่วนเรื่องการเสนอข่าวภาพรวมในทุกพื้นที่นั้น ผลงานกลับไปอยู่ในฝั่งของคุณ สรยุทธ์ฯ และคณะ นับว่ามีผลต่อการติดตามของผู้เสพข่าวอย่างดี

และเมื่อหันไปมองเรื่อง Key Message และ One Voice Message ของ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร หรือของ กทม. นั้นเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ …ถึงอย่างไรก็ต้องมองว่าคุณสรยุทธ์ฯ จะคิดทำอย่างไรก็สะดวกเพราะมีสื่ออยู่ในมือ แต่ กทม. ไม่ได้มีช่องรายการโทรทัศน์เป็นของตนเอง แต่ทุกครั้งที่เป็นข่าวออกมาในเวลาที่สั้นเพียงน้อยนิดในสื่อช่องโน้นช่องนี้ ผู้ว่า กทม. สามารถสื่อสารได้เนื้อหาที่หนักแน่น ซึ่งจะคลุมในเรื่อง …สถานการณ์ …การแก้ไข …จุดช่วยเหลือ …วิธีการช่วยเหลือ..สิ่งที่จะดำเนินการต่อไป เพราะในการพูดทุกครั้งมี Key Message ที่ชัดเจนค่ะ
ผู้ที่มีหน้าที่ต้องให้ข่าวกับสื่อบ่อย ๆ ลองศึกษาการให้ข่าวของผู้ว่า กทม. ช่วงน้ำท่วมสิคะ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นกรณีที่น่าศึกษาค่ะ เพราะ คนส่วนใหญ่มักจะนึกว่านักสื่อสารจะต้องอยู่ในรูปแบบของคนที่มาดเข้ม ใครซัดมาจะซัดกลับได้หนักหน่วงทุกประโยค แต่ผู้ว่า กทม. ไม่ได้มีมาดอย่างนั้น แต่ในคำพูดที่นิ่ม ๆ จะมี Key Message ชัดเจน
ในเชิงการบริหารจัดการ เรายังสามารถมองลึกไปยังเบื้องหลังคำพูดนั้นได้ว่า ได้วางแผนทำงานรองรับตาม Key Message ไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว เพราะทั้งรองผู้ว่าและคนทำงานในร่มเงาของ Key Message ได้ขานรับและทำทุกอย่างที่เป็น One Voice Message ทำให้เรามองเห็นได้ว่า การจะได้ Key Message ที่ดี และลงตัวนั้น จำเป็นต้องมีการประชุม และการตัดสินใจเพื่อดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนจากทีมงานเสียก่อน
ตอนที่ 3

เรื่องของ Boomerang Effects ขอเตือนว่า การทำงานในเรื่องการสื่อสาร (หรือเรื่องอะไรก็ตาม) ขอให้ระวังอย่าให้ “ผิดพลาด” หรืออย่าให้ “หลุด” เด็ดขาด

หลายคนชอบตั้งเกณฑ์การทำงานว่าผิดได้ครั้งที่ 1…2 แต่สำหรับผู้เขียนแล้วมีความเห็นว่า มาตรฐานการทำงานในเรื่องการสื่อสารต้องทำไม่ให้ผิด หรือ “หลุด” แม้แต่ครั้งเดียว เพราะหาก “ผิด” หรือ “หลุด” ไปครั้งเดียว คนก็เริ่มไม่เชื่อถือองค์กรแล้ว หากเราตั้งเกณฑ์ และฝึกนิสัยการทำงานในองค์กรไม่ให้ “ผิด” หรือ “หลุด” แม้แต่ครั้งเดียว (Zero error) รับรองว่าทำงานกันสนุกค่ะ
ปัจจุบันนี้ หากใครยังใช้คติการทำงานว่า… “คนทำงานย่อมผิดกันได้” หรือบางแห่งใจดีให้พนักงาน “ผิดกันได้ 3 ครั้ง” ลองคิดดูสิคะว่า หากเรามีลูกน้อง 30 คน …วันนี้คนนั้นผิด พรุ่งนี้คนโน้นผิด… เวียนกันไปเรื่อย… เบ็ดเสร็จแล้วในช่วงเวลาที่พนักงานเหล่านั้น ยังอยู่รวมกันทั้งสำนักงานจะผิดกันได้สิริรวมได้ทั้งหมด 90 ครั้ง โอย… จะไหวหรือคะ ท่านผู้อ่านขา ? องค์กรตายค่ะ… ตายลูกเดียว
ผู้เขียนเคยทำงานในสายการบิน และประทับใจในเกณฑ์การทำงานของพวกนักบินซึ่ง “ผิด” หรือ “พลาด” ไม่ได้ ในตรรกะทางการบิน โดยเฉพาะการวิ่ง ขึ้น–ลง รันเวย์นั้น ถ้า “ผิด” หรือ “พลาด” เพียงครั้งเดียวอาจหมายถึงการจบชีวิตที่อาจมีผู้ร่วมชะตากรรมอีกเป็นร้อย พวกนักบินจึงต้องทำงานโดยถือเกณฑ์การทำงานที่เป็น Zero error เพราะถ้าพวกเขาทำงานผิดพลาด พวกเขาจะไม่มีโอกาสทำงานนั้นอีกครั้ง (No Second Chance) ในชีวิตแล้ว เอ… เมื่อพวกนักบินเขาทำได้ แล้วทำไมเราจะนำแนวคิดการทำงานพวกเขามาใช้บ้างไม่ได้ล่ะ เราก็เป็นคนเหมือนกับพวกเขานี่นา
ช่วงที่ผู้เขียนเป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารวิสาหกิจและประชาสัมพันธ์ บริษัทการบินไทย ผู้เขียนได้นำแนวคิดการทำงานของพวกนักบินเข้ามาใช้ในสำนักประชาสัมพันธ์ที่ตนเองดูแลอยู่ด้วย ทุกคนตั้งใจที่จะทำให้ได้ …และก็เห็นร่วมกันว่า…ไม่เห็นยากเย็นตรงไหนถ้าเราตั้งใจจะทำ และคำชื่นชมในตัวพนักงานที่ทำงานแบบมืออาชีพก็เกิดขึ้น
เรื่องแผนการทำงานแต่ละครั้ง ผู้เขียนจะจัดแบ่งงานไว้หลายระดับ บางครั้งก็จะบอกลูกน้องหมดว่าคิดอะไรและกำลังทำอะไร แต่บางงานก็ต้องเรียนว่า …บอกหมดไม่ได้ “พวกหนูลุยไปตามแผนที่กำหนดให้นี่แหละ…ผิดถูกอย่างไรขอใช้คอแม่ (อ้อย) เป็นประกันอยู่แล้ว” สำหรับผู้บริหาร บางครั้งเราต้องดูแลเรื่องข้อมูลที่ต้องให้การสื่อสารกับสี่อมวลชน ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด ผิดไม่ได้เลยค่ะ ต้องเป็น Zero error ค่ะ
นี่แหละ….จึงต้องนำการทำงานในแนวคิด Zero error มาใช้ในบริหาร Key Message ให้กับผู้บริหาร เพื่อไม่ให้ “หลุด” เพราะถ้ามัน “ไม่หลุด” ก็จะโยงไปถึงการสร้าง One Voice Message เพื่อ ไม่ให้ “หลุด” ด้วยเช่นกัน การทำให้ผู้บริหารสื่อสารแบบ “ไม่หลุด” จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้บริหารขององค์กรกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ หรือเป็นการสร้างเครดิตกับองค์กรโดยตรง
การที่ Key Message “หลุด” หรือพูดออกไปแล้ว…ไม่มี..ไม่ได้…หรือไม่เป็น..ตามที่พูด ในศัพท์เทคนิคทางการสื่อสารจะทำให้เกิด Boomerang Effects คือมันจะกลายเป็นท่อนบูมเมอแรงที่จะร่อนเวียนกลับมาฟาดท้ายทอยคนพูด อาจส่งผลให้ราคาหุ้นอาจร่วงเละเทะกระจุยกระจายในนาทีถัดมา
วิธีทำการสร้าง Key Message ไม่ให้เกิด Boomerang Effects คือ ต้องนำนโยบายและการทำงานของส่วนกลาง มาประชุมภายในให้ชัดเจน สร้างแผนปฏิบัติการในเรื่องการสื่อสารให้สอดคล้องกับนโยบาย จากนั้นส่งแผนการสื่อสารกลับไปให้ผู้บริหารหรือ CEO ดู แล้วนำเข้าประชุมร่วมกันอีก และอาจต้องแก้ไขอีกครั้งหรืออีกหลายครั้ง เมื่อทุกระดับได้แก้ไขให้เข้าสู่แผนบฏิบัติการรวมแล้ว จึงเข้าสู่กระบวนการทำงานที่สอดคล้องกับนโยบาย และการจัดการอย่างบูรณาการ
ถึงตอนนี้มักมีเรื่องสนุกแทรกเข้ามาค่ะ คือ พวกนักสื่อสารจำพวกที่ร้อนรุ่ม และเริงร่า มักไปสร้าง Key Message ให้ฟังแล้ว “เอามัน” เพราะหวังจะให้สื่อนำไปขึ้นหน้าหนึ่งในวันรุ่งขึ้น ก็ไม่ผิดค่ะ…แต่ขอติงไว้ว่า นักบริหาร และนักปฏิบัติการที่มีฝีมือนั้น ต้องคำนึงว่า Key Message ไม่ได้ตั้งขึ้นมาพูด และสื่อกันเพื่อ “เอามัน” เท่านั้น แต่ต้องให้ผู้ทำงานทุกระดับทำให้เกิด One Voice Message เพื่อจัดการให้ “เอาอยู่” ด้วย และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด… คือต้องให้ได้งานตามเป้าหมายค่ะ
ผู้เขียนเคยเห็น Key Message ที่ลูกน้องส่งขึ้นมาให้ดู อ่านแล้ว “มัน” และ “สนุก” ค่ะ แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วกลับเห็นว่าเป็น Key Message ใช้เพื่อ “เอามัน” แต่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ (Good But Useless) …ไม่รับค่ะ จึงต้องให้บรรดาคนที่ร่วมกันทำงานช่วยกันถาม และทดลองกันให้ดีเสียก่อนนะคะว่า Key Message นี้จะเกิดประโยชน์โดยตรงกับการจัดการต่อเป้าหมายเราแน่นอนหรือเปล่า?
หากเราส่ง Key Message ไปให้ผู้บริหารไปสื่อแบบ “เอามัน” แต่ไม่อาจตอบสนองต่อเป้าหมายการทำงานได้ ก็ถือว่า “หลุด” และก็อาจไปสร้าง One Voice Message ที่ผิดหรือหลุดตามไปด้วย เมื่อเกิด One Voice Message ผิดหรือหลุด ในที่สุดมันจะพัฒนาจาก “หลุด” ไปเป็น “เอาไม่อยู่” แล้วก็เกิด Boomerang Effects หากหลุดมาก ก็อาจจะไม่ใช่เป็น Boomerang ลอยมาเพียงท่อนเดียวค่ะ แต่จะลอยมามืดฟ้ามัวดินเต็มไปหมด …หลบเก่งแค่ไหนก็รับรองว่าโดน แล้วก็เจ็บฟกช้ำดำเขียวตามๆ กันไปค่ะ